วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

นิทานสอนใจหญิง นิทานสอนใจวัยรุ่น เกี่ยวกับครอบครัว นิทานสอนใจสั้น ๆ



นิทานสอนใจหญิง นิทานสอนใจวัยรุ่น เกี่ยวกับครอบครัว นิทานสอนใจสั้น ๆ

นิทานสอนใจหญิง

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว... อาเธอร์ถูกจับและจะโดนประหารชีวิต แต่กษัตริย์เสนอให้เขาเป็นอิสระ ถ้าหากเขาสามารถตอบปัญหาแสนยากข้อหนึ่งได้ถูกต้อง อาเธอร์มีเวลาหาคำตอบ 1 ปีเต็ม ถ้าเขาตอบไม่ได้ เขาก็จะถูกประหาร คำถามนั้น คือ.... สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ คืออะไร? ปัญหาดังกล่าวช่างยากเย็น จนแม้นักปราชญ์ที่ฉลาดก็ยังงุนงง เขากลับไปยังอาณาจักรของเขาและเริ่มหาคำตอบจากทุกผู้คน แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่น่าพอใจได้ คนส่วนมากจะแนำให้เขาไปปรึกษาเรื่องนี้กับยายแม่มดแก่ ซึ่งน่าจะเป็นผู้เดียวที่จะรู้คำตอบ แต่ราคาค่าปรึกษาคงจะแสนแพงแล้ววันสิ้นปีก็มาถึง...อาเธอร์ไม่มีทางเลือก อื่น แม่มดตกลงจะให้คำตอบแต่อาเธอร์ต้องยอมรับเงื่อนไขแลกเปลี่ยนก่อน นังแม่มดต้องการแต่งงานกับกาเวน อัศวินผู้ทรงเกียรติสูสของเหล่าอัศวินโต๊ะกลม และเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของอาเธอร์ อาเธอร์หนุ่มถึงกับสยองขวัญ เพราะยายแก่หลังโกงเหม็นก็เหม็น มีฟันเหลือซี่เดียวตัวก็เหม็นเหมือนถังส้วม ชอทเสียงประหลาดน่ารังเกียจ เขาปฏิเสธที่จะให้เพื่อนรักแต่งงานกับหล่อนฝ่ายกาเวนพอได้รับรู้ถึงข้อเสนอ นั้น เขายอมแต่งงาน เพื่อชีวิตของอาเธอร์ และการดำรงอยู่ของอัศวินโต๊ะกลม และยายแม่มดก็ให้คำตอบต่อคำถามของอาเธอร์ สิ่งที่ผู้หญิงต้องกจริงๆ ก็คือ การได้เป็นตัวของตัวเอง ทุกคนราบได้ทันทีว่าแม่มดได้กล่าวอมตะวาจาอันยิ่งใหญ่ และอาเธอร์ก็รอดพ้นจากการประหารแน่นอน และก็เป็นเช่นนั้นจริงแต่ทว่า... งานแต่งงานของกาเวนกับนังแม่มดช่างเหลือรับจริงๆ กาเวนสง่าผ่าเผยเช่นปกติ ทั้งสุภาพอ่อนน้อม ส่วนฝ่ายนังแม่มดเฒ่านั้นออกลายนิสัยเลวสุดเดช ทั้งกินมูมมามด้วสองมือ ทุกผู้คนต่างรู้สึกอึดอัดและแล้วยามค่ำของวันส่งตัวก็มาถึง... กาเวนได้ปลอบตนเองพร้อมรับคืนสยอง เขาก้าวเข้าสู่ห้องนอนวิวาห์...ช่างไม่น่าเชื่อสายตาตนเอง!!!หญิงสาวแสนสวย ที่สุดที่เคยพบพานนอนรออยู่เบื้องหน้ากาเวนงุนงง??? สาวแสนสวยเฉลยว่า เพราะกาเวนช่างแสนดีกับหล่อน (เมื่อยามเป็นแม่มด) ดังนั้นครึ่งหนึ่งของวัน เธอจะอยู่ในสภาพพิกลพิการน่ารังเกียจ ส่วนอีกครึ่งหนี่งของวัน เธอจะอยู่ในร่างแสวยนี้และให้กาเวนเลือกว่า กลางวันเขาอยากให้เธอเป็นแบบไหน กลางคืนอยากให้เป็นแบบไหน? เป็นคำถามที่ช่างโหดร้าย!!!กาเวนเริ่มคิดไตร่ตรอง หญิงสาวสวยยามกลางวันเพื่ออวดต่อเพื่อนฝูง แต่กลางคืนเมื่ออยู่สองต่อสอง เป็นยายแม่มด? หรือว่าเขาควรจะเลือกยายแม่มดตอนกลางวัน แล้วได้สาสวเพื่อเริงระบำยามค่ำคืนดี?? เป็นคุณล่ะ คุณจะเลือกอย่างไร???กรุณาหยุดคิดสักนิดเมื่อตัดสินใจได้แล้ว....ไปดูเฉลย ข้างล่างคับกาเวนตอบว่า "เขาขอมอบให้เธอเป็นผู้ติดสินใจเลือกเอง" เมื่อเธอได้ยินดังนั้น เธอจึงประกาศก้องว่าเธอจะสวยตลอดเวลา เพราะเขาได้ให้ความเคารพและให้เธอเป็นตัวของตัวเอง

นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า...

1. ผู้หญิงไม่ว่าจะสวยหรือจะน่าเกลียด ลึกๆ ข้างในเธอก็คือ แม่มด

2. ผู้หญิงจะกลายร่างเป็นแม่มด หรือเป็นสาวแสนสวยเมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับความประพฤติของผู้ชาย
http://www.kasetsomboon.org

ผลไม้ต้องห้ามยามลูกป่วย


ผลไม้ต้องห้ามยามลูกป่วย



ิbaby -mom

ผลไม้ต้องห้ามยามลูกป่วย
 (modernmom)

          ถึงแม้ผลไม้จะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ดีต่อร่างกาย แต่ก็ใช่ว่าเจ้าตัวเล็กจะสามารถกินผลไม้ทุกชนิดได้ทุกเวลานะคะ เพราะผลไม้มีผลต่ออาการเจ็บป่วยของลูกเหมือนกัน แต่ป่วยแบบไหนไม่ควรกินผลไม้อะไรต้องติดตามค่ะ

           ไอ อาการไออาจเป็นผลจากการระคายเคืองโดยตรงต่อปอด หรือจากน้ำมูกที่ไหลลงในหลอดลมซึ่งเกิดจากการคั่งของมูกในทางเดินหายใจ ซึ่งการที่เราต้องไอออกมานั้น เป็นเพราะร่างกายกำลังพยายามทำให้ปอดและทางเดินหายใจโล่งขึ้น และการไอยังเป็นกลไกหนึ่งของการกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปในทางเดินหายใจด้วย

          Don’t : ผลไม้ฤทธิ์เย็น เช่น แตงโม แคนตาลูป หรือแตงไทย เพราะส่วนใหญ่ผลไม้กลุ่มนี้มักเป็นผลไม้ที่มีน้ำมากและจะทำให้เกิดการระคายเคืองภายในลำคอความเย็นจะกระตุ้นทำให้เกิดอาการไอมากขึ้น และจะทำให้หายใจไม่สะดวก

          Do : น้ำสับปะรดผสมน้ำผึ้ง เนื้อลูกพลับ มะขามป้อม และส้มโอคั้นเอาเฉพาะน้ำ ถ้าเปรี้ยวมากอาจผสมน้ำอุ่นต่อน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ

           ไข้หวัด เมื่อลูกเป็นไข้หวัดมักมีอาการไข้ต่ำ ๆ ปวดศีรษะ ไอเล็กน้อย น้ำมูกไหล คัดจมูก อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาจเจ็บคอหรือคอแดงเล็กน้อย ถ้ามีไข้สูงจะเหนื่อยหอบ และอาจจะมีอาการชักได้

          Don’t : ผลไม้ที่มีแป้งมาก มีไขมันมาก มีลักษณะที่แข็ง และย่อยยาก เช่น มะม่วงดิบ มะละกอ หรือกล้วย เพราะเมื่อลูกป่วยเป็นไข้หวัด ร่างกายจะมีอุณหภูมิที่สูงมากอยู่แล้ว ถ้ากินผลไม้ดังกล่าวร่างกายต้องเผาผลาญมาก เมื่อเกิดพลังงานความร้อนร่างกายก็จะมีอุณหภูมิที่สูงมากขึ้นอาจทำให้ชักได้

          Do : มะเฟือง ส้ม แตงโม น้ำแคนตาลูป

         Tip : หลังจากที่คุณลูกหายไข้แนะนำให้คุณแม่บำรุงร่างกายและป้องกันการกลับมาป่วยซ้ำของลูกด้วยผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น ฝรั่งขี้นกค่ะ

           ท้องเสีย ปกติวัยขวบปีแรกที่กินนมแม่มักจะถ่ายวันละ 4-5 ครั้งต่อวัน แต่ถ้าลูกถ่ายอุจจาระเหลวตั้งแต่ 3 ครั้งต่อวันขึ้นไป หรือถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 1 ครั้งต่อวัน หรือถ่ายมีมูกหรือมูกเลือด 1 ครั้งขึ้นไป ร่วมกับอาการไข้หรืออาเจียน จะถือว่าลูกมีภาวะท้องเสียค่ะ

          Don’t : ผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย เช่น มะขาม ลูกพรุน กล้วยสุก หรือมะละกอสุก ผลไม้ที่มีกากใยแบบไม่ละลายน้ำ เช่น ชมพู่ แตงโม หรือสับปะรด และผลไม้ที่มีรสหวานจัด ผลไม้ที่มีรสหวานจัดมีน้ำตาลมาก ได้แก่ ลำไย ทุเรียน ลิ้นจี่ เงาะ ขนุน เพราะผลไม้ที่มีรสหวานมีน้ำตาลในผลไม้ไม่ต้องผ่านการย่อย แต่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้เลย ซึ่งถ้ามีมากอาจทำให้ท้องเสียได้

          Do : แอปเปิ้ล น้ำมะพร้าว เนื้อกล้วยดิบมาฝานเป็นแผ่นบางๆ ปิ้งไฟให้สุก บดเป็นผงผสมน้ำหวานให้เจ้าตัวเล็กกินครั้งละ ½-1 ลูก ทุกๆ 2-4 ชั่วโมง

           ท้องผูก ลูกวัย 6 เดือนถึง 4 ปี จะมีอาการท้องผูกมากที่สุดค่ะ ความถี่ของการอุจจาระที่บ่งบอกว่าลูกท้องผูกคือ ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรืออาจถ่ายทุกวันแต่ต้องเบ่งมากและอุจจาระแข็งอาจจะเป็นก้อนเล็กๆ คล้ายลูกกระสุนปืนอัดลม หรือก้อนใหญ่ๆ ที่ทำให้มีอาการเจ็บปวดมากเวลาเบ่งถ่าย หรือบางครั้งอาจมีเลือดติดออกมาด้วยเพราะรูทวารฉีกขาด ซึ่งจะทำให้ลูกรู้สึกกลัวการถ่ายจึงพยายามกลั้นเอาไว้

          Don’t : ผลไม้ที่มีใยอาหารแบบไม่ละลายน้ำ เช่น ฝรั่ง มะม่วงดิบ รวมถึงมันและถั่วต่างๆ ผลไม้ที่มีลักษณะแข็ง มักจะย่อยยาก มีแก๊สมากทำให้อึดอัดแน่นท้อง และไม่สบายตัว

         Do : มะเฟือง พรุน กล้วย องุ่น มะละกอ แอปเปิ้ล (มีวิตามินบี 5 ซึ่งช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ช่วยให้ขับถ่ายได้ดีขึ้น) น้ำมะพร้าว (มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ) น้ำส้ม ผลส้ม สับปะรด และน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่น

          เมื่อเจ้าตัวเล็กไม่สบายครั้งต่อไป คุณแม่ก็รู้แล้วนะคะว่า ควรให้ลูกเลี่ยงผลไม้ชนิดใดเป็นพิเศษ และควรกินผลไม้ชนิดใด เพื่อช่วยให้อาการต่างๆ ของลูกดีขึ้น

เรื่อง นิทานเวตาล (เรื่องที่ 10)


หน่วยการเรียนรู้ที่ 3
เรื่อง นิทานเวตาล (เรื่องที่ 10)
ความเป็นมา
                นิทานเวตาล ฉบับนิพนธ์ พระราชวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ มีที่มาจากวรรณกรรมสันสกฤตของอินเดีย  โดยมีชื่อเดิมว่า เวตาลปัญจวิงศติ” ศิวทาสได้แต่งไว้ในสมัยโบราณ
                  ต่อมาได้มีผู้นำนิทานเวตาลทั้งฉบับภาษาสันสกฤตและภาษาฮินดีมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ โดยร้อยเอก เซอร์ ริชาร์ด เอฟ. เบอร์ตัน  ก็ได้นำมาแปลและเรียบเรียงแต่งแปลงเป็นสำนวนภาษาของตนเองให้คนอังกฤษอ่าน แต่ไม่ครบทั้ง 25 เรื่อง กรมหมื่นพิทยาลงกรณ ได้ทรงแปลนิทานเวตาลจากฉบับของเบอร์ตัน จำนวน 9 เรื่อง และจากฉบับแปลสำนวนของ ซี. เอช. ทอว์นีย์   อีก 1 เรื่อง รวมเป็นฉบับภาษาไทยของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ 10 เรื่อง เมื่อ พ.ศ. 2461
                   นิทานเวตาลเป็นนิทานที่มีลักษณะเป็นนิทานซับซ้อนนิทาน คือ มีนิทานเรื่องย่อยซ้อนอยู่ในนิทานเรื่องใหญ่

ประวัติผู้แต่ง
            พระราชวงศ์เธอ    กรมหมื่นพิทยาลงกรณ ทรงชำนาญด้านภาษาและวรรณคดีเป็นพิเศษ ได้ทรงนิพนธ์หนังสือไว้มากมายโดยใช้นามแฝงว่า น.ม.ส. ซึ่งทรงเลือกจากตัวอักษรตัวหลังพยางค์ของพระนาม (พระองค์เจ้า) รัชนีแจ่มจรัส

ลักษณะคำประพันธ์
           นิทานเวตาล แต่งเป็นร้อยแก้ว    โดยนำทำนองเขียนร้อยแก้วของฝรั่งมาปรับเข้ากับสำนวนไทยได้อย่างกลมกลืน และไม่ทำให้เสียอรรถรส แต่กลับทำให้ภาษาไทยมีชีวิตชีวา จึงได้รับยกย่องเป็นสำนวนร้อยแก้วที่ใหม่ที่สุดในยุคนั้น เรียกว่า สำนวน น.ม.ส.

เรื่องย่อ
                    ในโบราณกาล มีเมืองที่ใหญ่เมืองหนึ่งชื่อ กรุงธรรมปุระ พระราชาทรงพระนามว่า ท้าวมหาพล มีพระมเหสีที่ทรงสิริโฉมงดงามแม้มีพระราชธิดาที่ทรงเจริญวัยแล้ว ต่อมาได้เกิดศึกสงครามทหารของท้าวเอาใจออกห่าง ทำให้ทรงพ่ายแพ้ พระองค์จึงทรงพาพระมเหสีและพระราชธิดาหลบหนีออกจากเมืองเพื่อไปเมืองเดิมของพระมเหสี ในระหว่างทางท้าวมหาพลได้ถูกโจรรุมทำร้ายเพื่อชิงทรัพย์และสิ่งของมีค่า จนพระองค์สิ้นพระชนม์ จนพระราชธิดาและพระมเหสีเสด็จหนีเข้าไปในป่าลึก
   ในเวลานั้นมีพระราชาทรงพระนามว่า ท้าวจันทรเสน กับพระราชบุตร ได้เสด็จมาประพาสป่าและพบรอยเท้าของสตรีซึ่งเมื่อพบสตรีทั้งสองจะให้รอยเท้าที่ใหญ่เป็นพระมเหสีของท้าวจันทรเสน และรอยเท้าที่เล็กเป็นพระชายาของพระราชบุตร แต่เมื่อพบนางทั้งก็ปรากฏว่า รอยเท้าที่ใหญ่คือพระราชธิดา และรอยเท้าที่เล็ก นั้นคือ พระราชมารดา ดังนั้นพระราชธิดาจึงเป็นพระมเหสีของท้าวจันทรเสน และพระมารดาได้เป็นพระชายาของพระราชบุตร

เนื้อเรื่อง
          เวตาลกล่าวว่า ครั้งนี้ข้าพเจ้าเขม่นตาซ้ายหัวใจเต้นแรง แลตาก็มืดมัวเหมือนลางไม่ดีเสียแล้ว  แต่ข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องจริงถวาย แลเหตุที่ข้าพเจ้าเบื่อหน่ายที่ต้องถูกแบกหามไปหามมา
           ในโบราณกาล มีเมืองที่ใหญ่เมืองหนึ่งชื่อ กรุงธรรมปุระ พระราชาทรงพระนามว่า ท้าวมหาพล มีพระมเหสีที่ทรงสิริโฉมงดงามแม้มีพระราชธิดาที่ทรงเจริญวัยแล้ว ต่อมาได้เกิดศึกสงครามทหารของท้าวเอาใจออกห่าง ทำให้ทรงพ่ายแพ้ พระองค์จึงทรงพาพระมเหสีและพระราชธิดาหลบหนีออกจากเมืองเพื่อไปเมืองเดิมของพระมเหสี ในระหว่างทางท้าวมหาพลได้ถูกโจรรุมทำร้ายเพื่อชิงทรัพย์และสิ่งของมีค่า จนพระองค์สิ้นพระชนม์ จนพระราชธิดาและพระมเหสีเสด็จหนีเข้าไปในป่าลึก
            ในเวลานั้นมีพระราชาทรงพระนามว่า ท้าวจันทรเสน กับพระราชบุตร ได้เสด็จมาประพาสป่าและพบรอยเท้าของสตรีซึ่งเมื่อพบสตรีทั้งสองจะให้รอยเท้าที่ใหญ่เป็นพระมเหสีของท้าวจันทรเสน และรอยเท้าที่เล็กเป็นพระชายาของพระราชบุตร แต่เมื่อพบนางทั้งก็ปรากฏว่า รอยเท้าที่ใหญ่คือพระราชธิดา และรอยเท้าที่เล็ก นั้นคือ พระราชมารดา ดังนั้นพระราชธิดาจึงเป็นพระมเหสีของท้าวจันทรเสน และพระมารดาได้เป็นพระชายาของพระราชบุตร
      ครั้นกษัตริย์ทั้งสององค์ทรงกระทำสัญญาแบ่งนางกันดังนี้แล้ว ก็ชักม้าตามรอยเท้านางเข้าไปในป่า
       พระราชากับพระราชบุตรก็เชิญนางทั้งสองขึ้นบนหลังม้าองค์ละองค์ นางพระบาทเขื่องคือพระราชธิดาขึ้นทรงม้ากับท้าวจันทรเสน นางพระบาทเล็กคือพระมเหสีขึ้นทรงช้างกับพระราชบุตร สี่องค์ก็เสด็จเข้ากรุง
          กล่าวสั้นๆ ท้าวจันทรเสน แลพระราชบุตรก็ทำวิวาหะทั้งสองพระองค์ แต่กลับคู่กันไป คือพระราชบิดาวิวาหะกับพระราชบุตรี  พระราชบุตรวิวาหะกับพระมเหสี แลเพราะเหตุที่คาดขนาดเท้าผิด ลูกกลับเป็นเมียพ่อ แม่กลับเป็นเมียลูก ลูกกลับเป็นแม่เลี้ยงของผัวตัวเอง แลแม่กลับเป็นลูกสะใภ้ของผัวแห่งลูกตน
         แลต่อมาบุตรแลธิดาก็เกิดจากนางทั้งสอง แลบุตรแลธิดาของนางทั้งสองก็มีบุตรแลธิดาต่อๆกันไป
         เวตาลเล่ามาเพียงครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อไปว่า
      บัดนี้ข้าพเจ้าจะตั้งปัญหาทูลถามพระองค์ว่า ลูกท้าวจันทรเสนที่เกิดจากธิดาท้าวมหาพลลูกพระมเหสีท้าวมหาพลที่เกิดกับพระราชบุตรท้าวจันทรเสนนั้น จะนับญาติกันอย่างไร
       พระวิกรมาทิตย์ได้ทรงฟังปัญหาก็ทรงตรึกตรองเอาเรื่องของพ่อกับลูก  แม่กับลูก แลกับน้องมาปนกันยุ่ง แลมิหนำซ้ำมาเรื่องแม่เลี้ยงกับแม่ตัว  แลลูกสะใภ้กับลูกตัวอีกเล่า
           พระราชาทรงตีปัญหายังไม่ทันแตก พอนึกขึ้นได้ว่าการพาเวตาลไปส่งคืนโยคีนั้นจะสำเร็จก็ด้วยไม่ทรงตอบปัญหา จึงเป็นอันทรงนิ่งเพราะจำเป็นแลเพราะสะดวก  ก็รีบสาวก้าวดำเนินเร็วขึ้น
           ครั้นเวตาลทูลเย้าให้ตอบปัญหาด้วยวิธีกล่าวว่าโง่ จะรับสั่งอะไรไม่ได้ ก็ทรงกระแอม
           เวตาลทูลถามว่า
          รับสั่งตอบปัญหาแล้วไม่ใช่หรือ
          พระราชาไม่ทรงตอบว่ากระไร เวตาลก็นิ่งครู่หนึ่งแล้วทูลถามว่า
           บางมีพระองค์จะโปรดฟังเรื่องสั้นๆ อีกสักเรื่องหนึ่งกระมัง
          ครั้งนี้แม้แต่กระแอม พระวิกรมาทิตย์ก็ไม่ทรงกระแอม เวตาลจึ่งกล่าวอีกครั้งหนึ่งว่า
         เมื่อพระองค์ทรงจนปัญญาถึงเพียงนี้ บางทีพระราชบุตรซึ่งทรงปัญญาเฉลียวฉลาดจะทรงแก้ปัญหาได้บ้างกระมัง
           แต่พระธรรมวัชพระราชบุตรนิ่งสนิททีเดียว

กลอนรักเพื่อน







ประวัติของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ : Albert Einstein

ประวัติ
เกิด วันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.1879 ที่เมืองอูล์ม (Ulm) ประเทศเยอรมนี
เสียชีวิต วันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ.1955 ที่เมืองนิวเจอร์ซี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา 
ผลงาน 
- ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity) 
- ค้นพบทฤษฎีการแผ่รังสี (Photoelectric Effect Theory) 
- ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ในปี ค.ศ.1921

  
        ในบรรดานักวิทยาศาสตร์ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 ไอน์สไตน์ถือว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และอาจกล่าวได้ว่า เขาคือผู้ยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยระเบิดปรมาณูอันทรงอานุภาพแห่งการทำลายล้าง เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้น ไอน์สไตน์ ได้ส่งจดหมายฉบับหนึ่งถึงประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์ (Franklin Delano Roosevelt) เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของ แร่ยูเรเนียมที่สามารถนำมาสร้างลูกระเบิดพลังงานการทำลายสร้างรุนแรง เพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นประกาศแพ้สงคราม และนำสันติภาพ มาสู่โลกอีกครั้งหนึ่ง ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตกลงทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกลงที่เมืองฮิโรชิมา (Hiroshima) ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งส่งผลให้คนเสียชีวิตทันทีกว่า 60,000 คน และเสียชีวิตภายหลังอีกกว่า 100,000 คน
          ไอน์สไตน์เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.1879 ที่เมืองอูล์ม ประเทศเยอรมนี ไอน์สไตน์เป็นชาวเยอรมันแต่ก็มีเชื้อสายยิวด้วย บิดาของไอน์สไตน์เป็นเจ้าของร้านจำหน่ายเครื่องยนต์และสารเคมี ชื่อว่า เฮอร์แมน ไอน์สไตน์ (Herman Einstein) ต่อมาเมื่อ ไอน์สไตน์อายุได้ 1 ขวบ บิดาได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองมิวนิค ซึ่งคนส่วนใหญ่ในเมืองเป็นชาวยิวเช่นเดียวกับเขา ทำให้เขาไม่มีปัญหากับ เพื่อนบ้าน ไอน์สไตน์เป็นเด็กที่เงียบขรึม และมักไม่ค่อยชอบออกไปเล่นกับเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน จนบิดาเข้าใจว่าเขาเป็นคนโง่ จึงได้จ้างครูมาสอนพิเศษให้กับไอน์สไตน์ที่บ้าน โดยเฉพาะเรื่องการพูด ถึงแม้ว่าการพูดของเขาจะดีขึ้น แต่เขาก็ยังเงียบขรึม และ ไม่ออกไปเล่นกับเพื่อนเหมือนเช่นเคย เมื่อไอน์สไตน์อายุได้ 5 ขวบ บิดาได้ส่งเข้าโรงเรียนที่ยิมเนเซียม (Gymnasium) นักเรียน ในโรงเรียนแห่งนี้ทั้งหมดเป็นชาวเยอรมัน และนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ถึงอย่างนั้นไอน์สไตน์ก็เข้ากับเพื่อนได้ดี แต่สิ่งที่เขาไม่ชอบมากที่สุดในโรงเรียนก็คือการสอนที่น่าเบื่อหน่าย ที่ใช้วิธีการท่องจำเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีการที่เขาเกลียดที่สุด ทำให้ไอน์สไตน์ไม่อยากไปโรงเรียน มารดาจึงหาวิธีแก้ปัญหาให้ไอน์สไตน์ โดยการให้เขาเรียนไวโอลินและเปียโนแทน แต่วิชาที่ ไอน์สไตน์ให้ความสนใจมากที่สุดคือ คณิตศาสตร์ โดยเฉพาะวิชาเรขาคณิตเป็นวิชาที่เขาชอบมากที่สุด ทำให้เขาละทิ้งวิชาอื่น ยกเว้นวิชาดนตรี และเรียนวิชาอื่นได้แย่มาก แม้ว่าจะทำคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ได้ดีมาก เขาก็มักจะถูกครูตำหนิอยู่เสมอ
        ต่อมาไอน์สไตน์อายุ 15 ปี กิจการโรงงานของพ่อเขาแย่ลง เนื่องจากการรวมตัวของบริษัทผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าและเคมีหลายแห่ง ทำให้โรงงานของพ่อเขาไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้ ครอบครัวของเขาต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองมิลาน (Milan) ประเทศอิตาลี (Italy) แต่ไอน์สไตน์ไม่ได้ย้ายตามไปด้วย เพราะยังติดเรียนอยู่ แต่ด้วยความที่เขาคิดถึงครอบครัวมาก หลังจากนั้นอีก 6 เดือน เขาได้วางแผน ให้แพทย์ออกใบรับรองว่าเขาป่วยเป็นโรคประสาท เพื่อให้เขาได้เดินทางไปหาพ่อกับแม่ที่อิตาลี เมื่อเป็นเช่นนั้นไอน์สไตน์จึงเดินทาง ไปหาครอบครัวที่มิลาน แต่ก่อนที่เขาจะออกเดินทางเขาได้ขอใบรับรองทางการศึกษา เพื่อสะดวกในการเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนอื่น
        ต่อมาไอน์สไตน์ได้สอบเข้าเรียนต่อวิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ที่วิทยาลัยโปลีเทคนิค เมืองซูริค (Federal Poleytechnic of Zurich) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไอน์สไตน์สอบวิชาคณิตศาสตร์ได้คะแนนดีมาก ส่วนวิชาชีววิทยาและภาษา ได้แย่มาก ทำให้ เขาไม่ได้รับคัดเลือกให้เข้าเรียนในวิทยาลัยแห่งนี้ ต่อมาอีก 1 สัปดาห์ เขาได้รับจดหมายจากครูใหญ่วิทยาลัยโปลีเทคนิค ได้เชิญเขา ไปพบและแนะนำให้เขาไปเรียนต่อ เพื่อให้ได้ประการศนียบัตร ซึ่งสามารถเข้าเรียนต่อวิทยาลัยโปลีเทคนิคได้โดยไม่ต้องสอบ หลัง จากนั้นเขาจึงเข้าเรียนที่วิทยาลัยของสวิตเซอร์แลนด์ ตามหลักสูตร 1 ปี ระหว่างนี้เขาได้พักอาศัยอยู่กับครูผู้หนึ่งที่สอนอยู่ในโรงเรียน แห่งนี้ ไอน์สโตน์รู้สึกชอบวิทยาลัยแห่งนี้มาก เพราะการเรียนการสอนเป็นอิสระไม่บังคับ และไม่จำกัดมากจนเกินไป แนวการสอน เป็นการกระตุ้นให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามความสามารถของตน นอกจากนี้สภาพแวดล้อมในการเรียนยังดีมากดีด้วย เพราะได้มีการจัด ห้องเรียนเฉพาะสำหรับแต่ละวิชา เช่น ห้องเรียนภูมิศาสตร์ก็มีภาพแผนที่ สถานที่ต่าง ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ แขวนไว้ โดยรอบห้อง ส่วนห้องเคมีก็มีอุปกรณ์ในการทดลองวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย นอกจากนี้โรงเรียนแห่งนี้ยังมีนักเรียนจำนวนมาก ทำให้ ไอน์สไตน์ไม่รู้สึกว่ามีปมด้อยที่เป็นชาวยิวอีกต่อไป หลังจากที่เขาจบหลักสูตรที่โรงเรียนมัธยม 1 ปี ไอน์สไตน์ได้เข้าเรียนต่อที่วิทยาลัย เทคนิคในสาขาวิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ตามที่ได้ตั้งใจไว้
 

ของฝากจากเมืองน่าน


ของฝากจากเมืองน่าน

ผลไม้-อาหารพื้นเมือง
ผลไม้ที่มีชื่อของจังหวัด ได้แก่ ส้มสีทอง มะไฟจีน ลิ้นจี่ และต๋าว หรือ ตาว (เป็นชื่อปาล์มชนิดหนึ่งใบคล้ายมะพร้าว ออกผลเป็นทะลาย เนื้อในเมล็ดอ่อน เรียกว่า ลูกชิด เชื่อมกินได้ ) หาชิมได้ไม่ยาก และราคาย่อมเยา ที่ “ กาดเช้า” หรือตลาดเช้า ที่ตลาดสดเทศบาลเมืองหรือตลาดก่อนถึงทางขึ้นพระธาตุเขาน้อย และที่
“ กาดแลง” หรือตลาดเย็น ( เริ่มประมาณบ่ายสามโมง) หน้าโรงแรมเทวราช อาหารท้องถิ่นเมืองน่านอุดมด้วยเครื่องสมุนไพร ผักพื้นบ้านเครื่องเทศ โดยเฉพาะมะแข่น ซึ่งเป็นส่วนประกอบของอาหารหลายชนิด เช่น ยำลาบ ยำชิ้นไก่ แกงขนุน และแกงผักกาด รับประทานกับข้าวนึ่งร้อน ๆ อาหารพื้นบ้านเมืองน่านหลายชนิด คล้ายกับอาหารล้านนาทั่วไป เช่น ไส้อั่ว น้ำพริกอ่อง และแกงฮังเล แต่บางชนิดเป็นอาหารเฉพาะถิ่น และมีให้รับประทานในบางฤดูกาลเท่านั้น
ไค ( อ่านว่า “ ไก”) ไค เป็นพืชน้ำ มีเส้นสีเขียวยาวเหมือนเส้นผม งอกตามหินผาใต้ลำน้ำโขงมีขนาดใหญ่และยาวกว่า “ เทา” ( อ่านว่า “ เตา”) ซึ่งเป็นพืชประเภทเดียวกันที่ขึ้นตามห้วย หนอง คลอง บึง และนาข้าว แต่คนเมืองน่านเรียกสาหร่ายจากแม่น้ำว่า “ ไค” และ “ เตา” ส่วนใหญ่มาจากแม่น้ำน่าน นอกจากนั้นยังมีจากแม่น้ำว้า ถือเป็นดัชนีบ่งชี้ความสะอาดของน้ำได้เป็นอย่างดี หารับประทานได้ในฤดูหนาว และไคนำมาปรุงเป็นอาหารได้หลายอย่าง อาทิ แกงไค ห่อนึ่งไค และไคพรุ่ย
แกงไค ( อ่านว่า “ แก๋งไก”) มีทั้งแกงไคแบบไม่ใส่เนื้อและใส่เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อควาย เนื้อปลาดุก หรือปลาช่อน หากเป็นแกงไคใส่เนื้อนอกจากพริกแกงที่ประกอบด้วยพริกสด กระเทียม หอม ปลาร้าหรือกะปิแล้ว จะใส่เถาสะค้าน ( เป็นไม้เถา ใช้ทำยาได้ เรียกว่า ตะค้านก็ได้) ข่าอ่อน และใบมะกรูด
ห่อนึ่งไค คล้ายห่อหมกในภาคกลางเพียงแต่ไม่ใส่กะทิ มีทั้งห่อนึ่งไคไม่ใส่เนื้อ โดยนำไคมาผสมกับเครื่องแกงซึ่งประกอบด้วยพริกแห้ง หอม กระเทียม กะปิ หรือปลาร้า และใบมะกรูด นำไปห่อใบตองแล้วนึ่ง
น้ำปู หรือที่ทางเหนือเรียก “ น้ำปู๋” ทำจากปูนาโขลกผสมกับตะไคร้ และขมิ้น แล้วกรองแต่น้ำจากนั้นนำไปเคี่ยวไฟอ่อน ๆ พร้อมตะไคร้ ขมิ้น พริกป่น เกลือ และน้ำมะนาว จนกว่าน้ำจะงวดข้น น้ำปูใช้ปรุงอาหารได้หลายชนิด เช่น แกงหน่อไม้ ยำหน่อไม้ และน้ำพริกปู
แกงส้มเมือง ต่างจากแกงส้มภาคกลางที่ใส่น้ำมะขามเปียก แกงส้มเมืองน่านมีสีเหลืองจากน้ำขมิ้น หอม เครื่องแกงที่ประกอบด้วยตะไคร้ ขมิ้น พริกชี้ฟ้า หรือพริกขี้หนูสด หอมแดง กะปิ ที่โขลกเคล้าด้วยกัน ใส่มะเขือเทศ ผักบุ้ง ตำลึง และผักกูด ก่อนเนื้อปลาสุกใส่ใบแมงลักให้หอมเติมมะนาว หรือใส่ใบส้มป่อยด้วยก็ได้
ส้มสีทอง เริ่มมีการปลูกมาตั้งแต่ปี พ . ศ. ๒๔๖๘ หมื่นระกำ ผู้คุมเรือนจำจังหวัดน่านเป็นผู้นำมาปลูกครั้งแรก ส้มสีทองให้ผลผลิตออกสู่ตลาดมากในกลางเดือนธันวาคม หรือต้นเดือนมกราคม
องุ่นดำน่านฟ้า ได้รับชื่อพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนาฯ เป็นองุ่นพันธุ์ดีจากไต้หวัน
มะไฟจีน แหล่งเดิมอยู่ที่ประเทศจีนเชื่อว่าชาวจีนเป็นผู้นำมาปลูกในจังหวัดน่านเมื่อประมาณ ๘๐ ปีมาแล้ว เป็นผลไม้ที่มีอยู่ที่จังหวัดน่านเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย มีสรรพคุณเป็นยา คือช่วยระบบทางเดินหายใจ ทำให้หายใจโล่งจมูก ชุ่มคอ รับประทานสดตอนที่ผลแก่จัดมีรสหวาน หรือตากแห้งแล้วแช่อิ่ม

วิธีดูแลผิวหน้า

เพราะความหมองคล้ำและผิวที่ดูกระดำกระด่างบนใบหน้า คือ ตัวการที่มักสร้างความกังวลใจกับสาว ๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะผิวบริเวณหน้าผาก ที่เรียกว่าเป็นจุดเด่นและจุดสำคัญบนใบหน้า หากความดำและร่องรอยจุดต่าง ๆ มาเยือนก็นับว่าเป็นอะไรที่ทำใจได้ยาก จนถึงขั้นต้องรีบหาทางออกกันแบบด่วน ๆ เลยทีเดียว สำหรับใครที่เผชิญหน้ากับปัญหานี้อยู่ กระปุกดอทคอมมีวิธีง่าย ๆ ที่มาช่วยรับมือและแก้ไขปัญหานี้มาฝากกัน ขอบอกเลยว่าวิธีแก้นั้นไม่ยุ่งยาก เพียงทำตาม ดังนี้

           ใช้ครีมบำรุงที่ช่วยปรับสภาพผิวหมองคล้ำ
          เป็นไปได้ว่าสาว ๆ บางคนอาจมีสิวและร่องรอยจุดด่างดำต่าง ๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บวกกับผิวบริเวณหน้าผากโดนแสงแดดส่องทำลายผิวหนังโดยตรง จึงทำให้หน้าผากยิ่งคล้ำและดำมากไปกว่าเดิม ดังนั้นจึงควรใส่ใจบำรุงผิวบริเวณหน้าผากให้มากขึ้น ด้วยการเลือกใช้ครีมทาหน้าที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิ่งและครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป ทาเป็นประจำทุกเช้า เพื่อช่วยฟื้นฟูผิวและปกป้องผิวไม่ให้คล้ำเสียสะสม ส่วนตอนกลางคืนให้ใช้ไนท์ครีมสูตรเข้มข้นหรือเซรั่มที่มีวิตามินซี วิตามินเอหรือเอเอชเอ ทาบริเวณหน้าผาก เพื่อช่วยปรับสภาพสีผิวของหน้าผากให้ขาวกระจ่างใส ดูสม่ำเสมอเท่ากันทั้งใบหน้า

           ครีมกันแดด...ลืมไม่ได้เด็ดขาด

          อย่างทื่รู้กันว่าอากาศบ้านเรา ไม่ว่าจะฤดูไหน ๆ ก็ไว้วางใจเรื่องแสงแดดไม่ได้ เพราะบางวันเห็นฟ้าครึ้ม ๆ เผลอแป๊บเดียวกลับแดดจ้าซะงั้น ครีมกันแดดจึงเปรียบเสมือนอาวุธคู่กายที่สาว ๆ ไม่ควรละเลยเป็นอันขาด แล้วอย่าลืมเลือกค่า SPF ให้เหมาะกับตัวเองด้วยนะจ๊ะ  

           สครับหรือมาส์กผลัดเซลล์ผิว 

          จะบำรุงให้เกิดประสิทธิภาพทั้งที งานนี้ก็ต้องจัดให้ครบทุกขั้นตอน สักหน่อย สาว ๆ ที่อยากหน้าผากขาวใสแบบประหยัด ต้องลองสครับสูตรสุมนไพรไทย เพียงนำผงขมิ้น น้ำมะขามเปียก นมสด ผสมให้เข้ากันอย่างละนิด แล้วจัดแจงพอกทิ้งไว้ 10 นาที สัปดาห์ละ 2 ครั้ง รับรองว่าเวิร์คเห็นผลชัวร์ !

          
 รักษาด้วยเลเซอร์กลุุ่มลดรอยดำ เพิ่มความกระจ่างใส
 
          เครื่องมือเสริมความงามยอดนิยมที่หลายต่อหลายคนเลือกใช้ ด้วยการทำเลเซอร์รักษาผิวที่มีปัญหา ความหมองคล้ำของผิว ได้แก่ การทำ IPL ,YAG LASER และการกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี เพื่อลดปัญหาความหมองคล้ำ กระตุ้นการผลัดเซลล์ใหม่ให้ขาวเนียนสดใส

           ใส่หมวกหรือกางร่มเป็นประจำ 

          อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยปกป้องผิวบริเวณหน้าผากและใบหน้าไม่ให้หมองคล้ำได้ดี หากจำเป็นต้องเผชิญกับแสงรังสียูวีอันร้อนแรง หากคิดว่าครีมกันแดดอย่างเดียวเอาไม่อยู่ ก็รีบพกร่มและหมวกติดไว้ในกระเป๋าด่วน ๆ เลยจ้า